บทความน่ารู้จาก CEO
Margin loan ตอนที่ 1/2

หุ้นส่วนตัว : ราคาส่วนรวม=คนละเรื่องเดียวกัน
“Margin loan” ไม่ใช่ศัพท์ใหม่ในวงการตลาดทุนแต่อย่างใด เพราะมีมาตั้งนานแล้ว..แต่ระยะนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงอย่างยิ่ง เพราะสะเทือนตั้งแต่ระดับบน-จนถึง-ระดับล่าง คือผู้ถือหุ้นรายใหญ่และส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ทุกวันนี้เราเรียกว่า “รายละเอียด”
คำแปลตรงๆ ของ “Margin loan” คือ..บัญชีที่ให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อการซื้อหลักทรัพย์หรือการให้ลูกค้ายืมหลักทรัพย์เพื่อการขายชอร์ต เงินที่บริษัทให้ลูกค้ากู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ เรียกว่า เงินกู้มาร์จิ้น (อาจจะยัง “งง” นิดๆ เอาเป็นว่า “แปลของแปล” ให้เข้าใจง่ายๆ คือ การเอาหุ้นของตนเองไปวางเป็นหลักทรัพย์เพื่อค้ำประกันในการเอาเงินกู้ออกมา นั่นเอง ส่วนเงินกู้ที่ได้มานั้นจะเอาไปทำอะไรก็สุดแล้วแต่เจ้าของหุ้นจะนำไปใช้ตามใจตน)
ในสภาวะการลงทุนปัจจุบันนอกจาก Margin loan ยังมีอีกสองคำศัพท์ที่พวกเราต้องรู้ควบคู่กันไปคือ Margin Call และ Forced Sell เพราะทั้งสามส่วนเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกัน
จังหวะที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นนั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล..แต่ในจังหวะที่ตลาดหุ้นเป็นขาลงมักจะเป็นเรื่องได้เลย “น้ำลดตอผุด” คำนี้ใช้กับสถานการณ์ดังกล่าวได้เลย
มาดูขั้นตอนหรือกระบวนการว่า “สามคำศัพท์” ที่ว่าไปนั้นเกี่ยวโยงอย่างไร ดังนี้
- หลักการลงทุนโดยปกติ มีเงินออมเท่าใดก็ควรนำมาลงทุนไม่เกินกว่านั้น
- แต่ก็มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยคิดต่างออกไป เลือกใช้วิธี “ยืมเงิน” มาเล่นหุ้น ซึ่งการยืมนี้ทำได้โดยการเปิดบัญชีมาร์จิ้น (คอนเซ็ป คือ ใช้เงินตัวเองซื้อหุ้นเพียงส่วนหนึ่ง และอีกส่วนที่เหลือจะเป็นการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์)
- แต่การยืมเงินดังกล่าวจะต้องมีการวางหลักประกันสำหรับชำระหนี้ เช่น หุ้นที่เราถือครองอยู่นั่นเอง (สำหรับสัดส่วนหุ้นที่ต้องวางเป็นหลักประกัน จะแตกต่างกันออกไปอยู่ที่ข้อตกลงและการประเมินความเสี่ยงของหุ้นที่เอามาค้ำประกัน อาทิ 50:50, 60:40 หรือ 70:30 แล้วแต่ตกลง)
- ยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เข้าใจ คือ สมมุตินักลงทุนมีเงิน 100 บาท อยากซื้อหุ้น A ซึ่งมีมูลค่า 200 บาท จึงตัดสินใจใช้บัญชีมาร์จินซื้อหุ้น A โดยใช้เงินตัวเองซื้อ 100 บาท และอีก 100 บาท กู้เงินจากโบรกเกอร์ โดยใช้หุ้นของตัวเองในพอร์ตเป็นหลักประกัน)
- หากทุกอย่างเป็นไปตามคาดการณ์ คือ ตลาดหุ้นดีและราคาหุ้นเพิ่มขึ้น นักลงทุนจะได้กำไรจากการลงทุนนี้ง่ายๆ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้เงินตัวเองทั้งหมด ..แต่ในทางกลับกัน ถ้าราคาหุ้นที่ซื้อปรับตัวลดลง หรือ หุ้นที่เอาไปค้ำไว้ราคาลงแรงๆ นักลงทุนจะได้เจอกับเหตุการณ์ที่เรียกว่า Margin Call
- Margin Call หมายถึง ในกรณีที่มูลค่าหลักประกันต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โบรกเกอร์จะให้เรานำเงินสดหรือหุ้น มาวางเป็นหลักประกันเพิ่มเติม เช่น หากมีการกำหนดไว้ที่ 30% เมื่อหุ้นที่นำไปค้ำประกันเจอแรงขายจนมูลค่าเหลือแค่ 20% จะต้องหาเงินไปเติมให้กลับมาเป็น 30% เท่าเดิม ยิ่งลดก็ต้องยิ่งเติมเงินไปเรื่อย ๆ
- แต่หากราคาหุ้นลงไปจนถึงจุดหนึ่ง แล้วนักลงทุนไม่สามารถนำเงินสดหรือหุ้นมาวางเพิ่ม โบรกเกอร์ก็จะมีสิทธิ์สั่ง Forced Sell หรือ “บังคับขาย” หุ้นที่วางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันออกไปในกระดาน เพื่อแปลงเป็นเงินออกมาชำระหนี้นั่นเอง
- ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีผู้ถือหุ้นรายใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ถูก Forced Sell จากการนำหุ้นบริษัทไปค้ำประกัน เลยเถิดถึงขนาดทำให้บริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือมูลค่าหายวับได้ในพริบตา และบางรายถึงขั้นต้องสูญเสียอำนาจบริหาร หรือสูญเสียบริษัทไปแลย
- ขยายความของคำว่า “Forced Sell” คือ การถูกบังคับ “ขายหุ้นทุกราคา” จากการนำหุ้นไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน แล้วราคาหุ้นปรับตัวลงหลายฟลอร์อย่างที่เห็น จนกระทั่งทำให้มูลค่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
- แม้จะเริ่มต้นจากการนำหุ้นส่วนตัวเองไปค้ำประกัน ..แต่เมื่อถูกบังคับขายและราคารูดลงนั่นคือ “ราคาของส่วนรวม” เพราะทำให้ผู้ถือหุ้นทุกคน (ทั้งรายใหญ่-รายย่อย) ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึงกัน ..เงินหายไปในพริบตา หรือจะเรียกว่าขาดทุนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็วมากๆ อย่างที่เห็นหุ้นดังหลายตัวร่วงจนติดฟลอร์หลายวันติดต่อกัน